ปัจจุบัน ชาเขียวในประเทศญี่ปุ่นมีแหล่งเพาะปลูกหลายจังหวัดมาก ซึ่งแหล่งปลูกชาเขียวที่มีชื่อเสียงแต่โบราณคือ เมือง อุจิ จังหวัดเกียวโต Uji Kyoto แต่ในปัจจุบัน แหล่งปลูกชาเขียวได้เพิ่มมากขึ้นกว่าสมัยก่อนมาก ซึ่งปัจจุบัน ชาเขียวที่วางขายตามซุปเปอร์มาเก็ตส่วนใหญ่จะผลิตที่ จังหวัด Shizuoka และ จังหวัด Kagoshima เป็นส่วนมาก คุณภาพของชาก็จะขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่ใช้เพาะปลูก สภาพภูมิอากาศในแต่พื้นที่ และการดูแลเอาใจใส่ กว่าจะเก็บเกี่ยวชาเขียวได้ในแต่ละครั้งนั้น เกษตรกรต้องดูแลเอาใจใส่เจ้าต้นชาเป็นอย่างมาก ในฤดูร้อนที่มีแมลงมากมายคอยรบกวนต้นชาอยู่หลายชนิดทำให้เกษตรกรต้องทำงานหนักท่ามกลางแดดที่ร้อนอบอ้าว หากแมลงบุกมาก ชาจะเกิดความเสียหายและเกิดโรคได้ง่าย การฉีดพ่นยากำจัดแมลงนั้นก็สามารถทำได้เหมือนกัน แต่ในประเทศญี่ปุ่นนั้น มีการควบคุมการฉีดพ่นสารเคมีอย่างเข้มงวด สารเคมีที่ใช้นั้นต้องถูกต้องตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ซึ่งไม่ได้ช่วยให้แมลงหมดสิ้นไปทั้งหมด ส่วนการเก็บเกี่ยวชาเขียวนั้นมีอยู่สามวิธี ได้แก่ ใช้มือเด็ด ใช้กรรไกรตัด และใช้เครื่องจักร
แหล่งปลูกชาเขียวที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น
ในสมัยก่อน ชาเขียวจากจังหวัด อุจิ โตเกียว uji tokyo มีชื่อเสียงมาก แต่เนื่องจากต้นทุนที่สูงและพื้นที่จำกัด ทำให้ ปัจจุบัน ชาเขียวที่ผลิตจากเมืองอุจิล้วนๆ 100% แทบจะไม่มีแล้ว แต่กลายเป็นเพียงส่วนผสมกับชาแหล่งผลิตอื่นๆ เสียมากกว่า โดยชาเขียวที่มีชื่อเสียงจังหวัดอื่นๆ รองลงไปก็จะเป็นชาเขียว อิเซะชา จากเมือง อิเซะ (ise) จังหวัด มิเอะ (mie) ซึ่งมีรสชาติหอมอร่อยไม่แพ้กัน ในราคาที่ถูกกว่า
ประโยชน์ของชาเขียว
ชาเขียวมีส่วนประกอบของ คาเทชิน catechin ซึ่งมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระที่เป็นพิษในร่างกาย (antioxidant) ช่วยลดการจับไขมัน และลดเซลล์ที่เสื่อมสภาพ เรียกได้ว่า ช่วยชะลอความแก่ได้ดีเลยทีเดียว
นอกจากนี้ชาเขียวยังมีส่วนประกอบของ โพลีฟีนอล ที่สามารถช่วยลดอัตราการเกิดโรคเบาหวาน และ โรคมะเร็งได้ และป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ได้ดี แต่ในขณะเดียวกัน ชาเขียวก็มีส่วนผสมของ คาเฟอีน ด้วยเช่นกัน ถ้าดื่มในปริมาณมาก จะมีผลเสียต่อร่างกาย ดังนั้น ไม่ใช่ว่าจะดื่มชาเขียวมากๆ แล้วจะดีเสมอไป แต่ควรดื่มเป็นประจำมากกว่า สนใจสินค้าคลิ๊ก ชาเขียว คาเทชิน